งบการเงินสำหรับผู้บริหาร (Finance for Non-Finance) เข้าใจงบการเงินเพื่อตรวจสอบสุขภาพธุรกิจ

อย่าปล่อยให้ตัวเลขเป็นอุปสรรค แต่จงใช้มันเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสที่มั่นคงให้ธุรกิจคุณ

ในโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเลขผลประกอบการ บนความเปลี่ยนแปลงที่ผันผวนอยู่เสมอ ส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริหาร ทั้งในบทบาทผู้ประกอบการหรือนักบริหารมืออาชีพทุกสายงาน จำเป็นต้องตั้งอยู่บนชุดข้อมูลที่ถูกต้องและแม่นยำ โดยหนึ่งในเครื่องมือสำคัญสำหรับผู้บริหารที่ต้องการช้อมูลสถานะธุรกิจที่ถูกต้องแม่นยำ คือ งบการเงิน

แม้ว่าเรา (โดยส่วนมาก) จะไม่ได้มีพื้นฐานทางการเงินโดยตรง แต่เมื่อก้าวมาสู่สถานะผู้บริหารของธุรกิจ ความสามารถในการอ่านและตีความงบการเงินเบื้องต้น จะช่วยให้เราเห็นและเข้าใจภาพรวมของธุรกิจผ่านสถานะหรือสุขภาพทางการเงิน และนำไปสู่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น

งบการเงินที่ผู้บริหารต้องรู้จัก

โดยทั่วไป งบการเงินสำหรับธุรกิจที่เราต้องรู้จัก เข้าใจ เพื่ออ่านให้ออก จะมี 3 ประเภท คือ

  1. งบดุล (Balance Sheet)หรืองบแสดงฐานะการเงิน (Statement of Financial Position) เป็นงบการเงินที่แสดงภาพรวมของสินทรัพย์ (สิ่งที่ธุรกิจเป็นเจ้าของ), หนี้สิน (สิ่งที่ธุรกิจเป็นหนี้ผู้อื่น)และส่วนของผู้ถือหุ้น (ส่วนทุนของเจ้าของ) ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง เปรียบเสมือนภาพถ่ายสถานะทางการเงินของธุรกิจ โดยมีสูตรพื้นฐานของงบดุล คือ

สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น

  1. งบกำไรขาดทุน (Statement of Profit or Loss)หรืองบรายได้ (Income Statement) เป็นงบการเงินที่แสดงผลการดำเนินงานของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น รายไตรมาส หรือรายปี โดยสรุปเป็นรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไร (หรือขาดทุน) ที่เกิดขึ้น โดยมีสูตรพื้นฐานของงบกำไรขาดทุนคือ 

รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไร (ขาดทุน) สุทธิ

  1. งบกระแสเงินสด (Statement of Cash Flows)เป็นงบการเงินที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดของธุรกิจในช่วงเวลาหนึ่ง ที่ช่วยให้เราเห็นและเข้าใจภาพรวมของการใหลเข้าและออกของเงินสดในธุรกิจ ผ่าน 3 กิจกรรมหลัก คือ การดำเนินงาน การลงทุน และการจัดหาเงิน

การใช้งบการเงิน เพื่อตรวจสอบสถานะ (สุขภาพ) ธุรกิจ

จากงบการเงินหลักทั้ง 3 ในข้างต้น เราสามารถนำข้อมูลเหล่านั้น มาวิเคราะห์และประเมินสถานะหรือสุขภาพของธุรกิจในด้านต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจใด ๆ โดยเฉพาะการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ คือ

  1. สภาพคล่อง (Liquidity)หรือความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นโดยศึกษาจากงบดุล ด้วยการเปรียบเทียบสินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets) เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ กับหนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities) ที่ประกอบด้วยเจ้าหนี้การค้า และเงินเบิกเกินบัญชี

โดยอัตราส่วนที่สำคัญในสภาพคล่องของธุรกิจ ประกอบด้วย

อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) เพื่อประเมินสถานะทางการเงินของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการประเมินความสามารถชำระหนี้ระยะสั้น และความน่าเชื่อถือของธุรกิจ

อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว (Quick Ratio หรือ Acid-Test Ratio) มีประโยชน์ต่อการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นโดยไม่นับรวมสินค้าคงคลัง ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจสถานะที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสภาพคล่องในธุรกิจของเรา และจะยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน

  1. ความสามารถในการทำกำไร (Gross Profit Margin)หรือประสิทธิภาพในการสร้างผลกำไรระดับต่าง ๆ ของธุรกิจ ด้วยการพิจารณาข้อมูลจากงบกำไรขาดทุนในส่วนของรายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรที่คำนวณได้ในแต่ละขั้น

การศึกษาความสามารถในการทำกำไร จะมีอัตราส่วนที่สำคัญในการศึกษาหรือพิจารณา คือ

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานของธุรกิจ ที่จะช่วยให้เราประเมินความสามารถของธุรกิจในการควบคุมต้นทุนและสร้างกำไรจากการขายสินค้าหรือบริการ เพื่อการออกแบบกลยุทธ์ธุรกิจที่เหมาะสมต่อไป

อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operation Profit Margin) เป็นอัตราส่วนที่แสดงให้เราได้ทราบถึงประสิทธิภาพในการสร้างรายได้จากการดำเนินงานหลักหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว ซึ่งจะช่วยให้เราประเมินได้ว่าธุรกิจมีการควบคุมต้นทุนได้ดีหรือไม่ และอย่างไร ทั้งยังสามารถใช้ในการเปรียบเทียบกับคู่แข่งหรืออุตสาหกรรมเดียวกันได้อีกด้วย

อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์สถานะทางการเงินของธุรกิจในด้านความสามารถทำกำไรของธุรกิจเราได้อย่างครอบคลุม จึงช่วยให้เราประเมินสุขภาพทางการเงินของธุรกิจ การตัดสินใจทางธุรกิจ รวมถึง การพิจารณาความสนใจของนักลงทุน และการคำนวณภาษีอีกด้วย

  1. ความสามารถในการชำระหนี้ระยะยาว (Solvency)คือ ความสามารถในการชำระหนี้ทั้งหมดของธุรกิจ โดยใช้ข้อมูลจากงบดุล เพื่อเปรียบเทียบหนี้สินรวม กับสินทรัพย์รวม และส่วนของผู้ถือหุ้น โดยมีอัตราส่วนที่สำคัญในการศึกษาความสามารถชำระหนี้ระยะยาวของธุรกิจ คือ

อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt-to Equity Ratio) เป็นตัวชี้วัดสำหรับแสดงสถานะหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งสะท้อนถึงเสถียรภาพทางการเงินของธุรกิจและระดับความเสี่ยงจากการกู้ยืมเงินได้

อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ (Debt-to-Asset Ratio) เป็นเครื่องมือทางการเงินที่จะแสดงสถานะหรือสุขภาพของธุรกิจว่าสินทรัพย์ในธุรกิจมีเงินทุนมาจากหนี้สินมากน้อยเท่าไร ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงของธุรกิจด้านความสามารถในการชำระหนี้ และการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุน

  1. ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน (Efficiency)เป็นการนำข้อมูลการเงินจากงบดุลและงบกำไรขาดทุนมาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ และการจัดการหนี้สินของธุรกิจเรา โดยมีอัตราส่วนที่สำคัญ คือ

อัตราหมุนเวียนลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable Turnover) ช่วยวัดประสิทธิภาพในการจัดเก็บหนี้ของเรา โดยอัตราที่สูงแสดงว่าธุรกิจสามารถเรียกเก็บเงินจากลูกค้าได้รวดเร็วและมีระบบติดตามหนี้ที่ดี ซึ่งมีประโยชน์ต่อการปรับปรุงกระแสเงินสด เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ทั้งยังช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายด้านลูกหนี้การค้าของเรา

ระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ย (Average Collection Period) ช่วยให้เราประเมินประสิทธิภาพในการเก็บหนี้ วางแผนกระแสเงินสด และประเมินเงื่อนไขด้านลูกหนี้การค้า หากระยะเวลาเก็บหนี้สั้น จะแสดงว่าธุรกิจมีสภาพคล่องที่ดี สามารถลดการพึ่งพาแหล่งเงินทุนภายนอก เช่น การกู้ยืม เป็นต้น

อัตราหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ (Inventory Turnover) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการจัดการสินค้าคงคลังในธุรกิจ โดยจะช่วยให้เราประเมินความสามารถด้านการขาย การบริหารเงินทุน และลดความเสี่ยงจากการล้าสมัยของสินค้าได้

  1. กระแสเงินสด (Cash Flow)เพื่อตรวจสอบความสามารถในการสร้างและบริหารเงินสดในธุรกิจของเรา โดยพิจารณาจากกระแสเงินสดที่ได้รับจากกิจกรรมหลักต่าง ๆ ในงบกระแสเงินสด ซึ่งธุรกิจของเราควรมีกระแสเงินสดเป็นบวก ที่เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนต่อเนื่องต่อไป

ทั้งนี้ ในการใช้งบการเงินมีข้อควรจำหรือตระหนักสำหรับผู้บริหาร เพื่อตรวจสอบสถานะ (สุขภาพ) ธุรกิจ คือ

– เปรียบเทียบผลการวิเคราะห์กับดัชนีอุตสาหกรรม เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดำเนินงานของเรากับคู่แข่งขัน

– พิจารณาแนวโน้มของอุตสาหกรรมในระยะเวลาที่ผ่านมา ร่วมกับการวิเคราะห์งบการเงิน จะทำให้เราทราบถึงพัฒนาการของธุรกิจเราที่ชัดเจนขึ้น

– ทำความเข้าใจบริบทในธุรกิจของเรา เพราะอัตราส่วนทางการเงินอาจจะมีความหมายแตกต่างกันในแต่ละอุตสาหกรรม

– อย่าพิจารณาแต่ตัวเลข เพราะงบการเงินเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมินธุรกิจเท่านั้น ดังนั้น เราจึงควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพเศรษฐกิจ การตลาด ความรุนแรงของการแข่งขัน และกลยุทธ์ธุรกิจของเราร่วมด้วย ซึ่งจะสะท้อนสถานะหรือสุขภาพธุรกิจเราได้ชัดเจนขึ้น

ประโยชน์ของงบการเงินในยุค VUCA

ในสถานการณ์การบริหารธุรกิจภายใต้ความไม่แน่นอนทั้งภายในและต่างประเทศ งบการเงินจะเป็นเครื่องมือหลักสำหรับการประเมินสถานะหรือสุขภาพทางธุรกิจ เพื่อประกอบการตัดสินใจที่รอบคอบ เหมาะสม ลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ เช่น

– ผลการดำเนินงานล่าสุดในงบกำไรขาดทุน อาจจะเป็นสัญญาณเดือนการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ

– งบกระแสเงินสด ซึ่งแสดงการไหลเวียนของเงินสดในธุรกิจ มีความจำเป็นอย่างมากต่อการประเมินความสามารถในการอยู่รอด (Survival) และเติบโตของธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวนสูง

– เราสามารถใช้งบการเงินเป็นข้อมูลพื้นฐานของการสร้างแผนสถานการณ์จำลองธุรกิจ (Scenario Planning) ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เศรษฐกิจถดถอย หรืออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินผันผวน เพื่อประเมินผลกระทบ และออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้ล่วงหน้า

– งบการเงินที่โปร่งใส จะช่วยให้นักลงทุนหรือสถาบันการเงินมีความเชื่อมั่นในธุรกิจของเรา ทำให้สะดวกและง่ายต่อการระดมทุนหรือขอสินเชื่อสำหรับธุรกิจของเราในอนาคต

การจัดทำและมีข้อมูลทางการเงินที่ชัดเจน เข้าใจง่าย จะเป็นเสมือนเข็มทิศช่วยนำทางผู้บริหาร เพื่อประเมินสถานะของธุรกิจ ระบุความเสี่ยง โอกาส และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม รอบคอบ ลดความผิดพลาด และเพิ่มความมั่นใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทั้งภายในและต่างประเทศ

แม้ว่าการเงินอาจเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีพื้นฐานโดยตรง แต่การทำความเข้าใจงบการเงินหลัก ๆ สามารถนำมาประกอบการวิเคราะห์สถานะหรือสุขภาพของธุรกิจในเบื้องต้น คือ ทักษะที่สำคัญสำหรับผู้บริหารทุกคนในยุค VUCA

อย่าปล่อยให้ตัวเลขเป็นอุปสรรค แต่จงใช้มันเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสที่มั่นคงให้ธุรกิจคุณ