SMEs Survival Kit : ธุรกิจต้องยืดหยุ่น (Business Resilience) ล้มได้ ต้องลุกได้

   จากธุรกิจผลไม้แปรรูปเพื่อการส่งออกเป็นตลาดหลัก ที่สามารถปรับตัวได้ทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยใช้ข้อมูลเป็นเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจให้กลับมาให้ความสำคัญกับลูกค้าคนรุ่นใหม่ในประเทศ ซึ่งนับเป็นการปรับตัวได้ทันความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะการทำธุรกิจยุคนี้ไม่ใช่การวางแผน 3 – 5 ปีแล้วเดินตาม แต่ต้องถามตัวเองทุกวันและเดือน ว่า ถ้าเจอพายุลูกใหม่ เราจะหันเรือทันหรือไม่?” … แต่

ถ้าเราหันหัวเรือไม่ทัน จะเกิดอะไรขึ้นกับธุรกิจของเรา

   โดยในห้วงเวลาที่ทุก ๆ ปัจจัยในชีวิต สังคม และเศรษฐกิจ ล้วนผันผวนและคาดเดาได้ยาก ดังคำกล่าว “ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน” ซึ่งองค์กรธุรกิจจำนวนมากที่เคยเชื่อว่าการมี “ความคล่องตัวทางธุรกิจ (Business Agiligy) และวัฒนธรรมการใช้ข้อมูลเพื่อการขับเคลื่อนธุรกิจ (Data-Driven Decisions) จะเพียงพอกับการอยู่รอดได้ในโลกแห่ง VUCA … เป็นความจริงหรือไม่?

   เพราะเมื่อเกิดวิกฤติการณ์ทางสังคมหรือเศรษฐกิจขึ้น เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ สงคราม หรือความขัดแย้งในสังคมอย่างเหนือความคาดหมาย มักส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ให้สะดุด ชะลอ ระงับ หยุด หรือล้มเลิกในที่สุด

   จึงเป็นที่มาของคำถามต่อไป หากเราไม่สามารถหันหัวเรือเปลี่ยนทิศทางได้ทัน … เราจะลุกขึ้นยืนได้หรือไม่? และอย่างไร?”

   ข้างต้น คือ เหตุผลที่สะท้อนว่าความคล่องตัวทางธุรกิจ (Business Agility) จะไม่เพียงพอ เพราะเราและธุรกิจของเราจำเป็นต้องเพิ่มความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (Business Resilience) ให้องค์กรมีภูมิด้านทานต่อวิกฤติการณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจและการตลาดได้ตลอดเวลา ที่นำมาซึ่งการเติบโตได้แม้ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ

คล่องตัวกับยืดหยุ่น … ต่างกันอย่างไร?

   ในหลาย ๆ วาระ เราจะพบว่าความคล่องตัว (Agility) และความยืดหยุ่น (Resilience) มักถูกนำมาใช้ร่วมกันจนเป็นที่เข้าใจว่าสองคำนี้เป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งนับว่าถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะสองคำนี้ต้องทำงานร่วมกันอย่างมีนัยสำคัญกับการบริหารธุรกิจยุคใหม่ คือ

Business Agility เปรียบได้กับ ความสามารถในการเดินหรือวิ่งหลบหลีก ของเรา ที่พร้อมจะสับเปลี่ยนทิศทาง เพื่อหลบหลีกสิ่งกีดขวาง หรือคว้าและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว

Business Resilience เปรียบได้กับ ความสามารถในการลุกขึ้นยืน ของเรา ที่แม้จะสะดุด หรือถูกชนจนล้มลง แต่จะยังมีแรงที่จะลุกขึ้นเดินหรือวิ่งต่อไปได้

   ดังนั้น องค์กรธุรกิจที่มีความคล่องตัว หรือ Business Agility แต่ขาดความยืดหยุ่น หรือ Business Resilience จะเหมือนคนที่มีความคล่องแคล่ว รวดเร็ว แต่กลับเปราะบาง ที่หากล้มหรือสะดุดจะส่งผลต่อการบาดเจ็บสาหัสได้ง่าย เช่น Nokia ที่เคยได้รับการจัดอันดับเป็นยักษ์ใหญ่ในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ แต่กลับต้องประสบปัญหา เมื่อเทคโนโลยีได้เปลี่ยนผ่านมาสู่ Smartphone พร้อมกับเปิดช่องให้คู่แข่งขันรายใหม่ เข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดของ Nokia ได้จนหมด

   แต่ในทางกลับกันกับองค์กรธุรกิจที่จะอยู่รอดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน จะเปรียบได้กับคนที่มีทั้งความคล่องตัว รวดเร็ว และมีกำลังเพียงพอที่จะลุกขึ้นยืนได้ใหม่ทุกครั้งที่ล้ม เช่น ในวิกฤติการณ์ Covid-19 ของ Central Department Store ที่ต้องปิดให้บริการทุกสาขา จึงปรับกลยุทธ์การตลาด โดยให้น้ำหนักและความสำคัญกับช่องทาง e-Commerce มากขึ้น หรือธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารจำนวนมากต้องปรับตัวหันมาให้บริการ Food Delivery ซึ่งการปรับตัวดังกล่าว ไม่ใช่การปรับเปลี่ยนด้วยความคล่องตัว แต่เป็นความยืดหยุ่นที่ทำให้พวกเขาสามารถลุกขึ้นมาดำเนินธุรกิจได้ แม้จะอยู่ในช่วงยามที่ยากลำบากที่สุด

3 เสาหลัก เพิ่มความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (Framework for Resilience)

   การเพิ่มความยืดหยุ่นทางธุรกิจแก่องค์กร จำเป็นต้องเริ่มจากความเข้าใจถึงปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงทางธุรกิจขององค์กร ตั้งแต่ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ ถึงความเสี่ยงภายในองค์กรที่เราสามารถบริหารได้ ด้วย Enterprise Risk Management (ERM) ของ Committee of Sponsoring Organiztions of the Treadway Commission (COSO) ที่เราได้เคยกล่าวถึงใน บริหารความเสี่ยงยุค VUCA+ ด้วย COSO-ERM ที่ประกอบด้วยหลักการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างรอบด้าน ตั้งแต่การเปิดกว้างในวัฒนธรรมองค์กร บูรณาการการบริหารความเสี่ยงเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจขององค์กร ถึงการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาในองค์กร

จาก COSO-ERM จะนำไปสู่ 3 เสาหลัก เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นทางธุรกิจแก่องค์กร ซึ่งได้แก่

  1. Risk Identificationคือ การศึกษา รวบรวม และพิจารณาถึงความเสี่ยงทางธุรกิจที่สามารถคุกคามองค์กรได้ เช่น การพึ่งพาลูกค้า หรือ Supplierเพียงไม่กี่รายในการดำเนินธุรกิจ หรือสถานะของกระแสเงินสด (Cash Flow) และความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เป็นต้น
  2. Preparedness & Mitigationคือ กระบวนการออกแบบและพัฒนาแผนงานรองรับความเสี่ยงทางธุรกิจ ที่ควรมีคุณลักษณะ “ป้องกันการลุกลามจากภัยคุกคามองค์กร”ไม่ใช่แผนงานการเข้าไปขจัดหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น การกระจายความเสี่ยง (Diversification) การสำรองเงินสด รวมถึง การสร้างพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทานล่วงหน้า เป็นต้น
  3. Recovery & Adaptationคือ การพัฒนาแผนฟื้นฟูองค์กรจากการเผชิญภัยคุกคามองค์กร ด้วยการใช้ข้อมูลเป็็นเครื่องมือขับเคลื่อนแผนงาน (Data-Driven Decisions) ตั้งแต่การการปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือกลยุทธ์ธุรกิจ โดยรวมถึงการ Re-Skill ให้แก่บุคลากร เป็นต้น

4 Checklists เพิ่มความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (4 Checklists for Business Resilience)

   เราสามารถเริ่มต้นสร้างหรือเพิ่มความยืดหยุ่นทางธุรกิจแก่องค์กร โดยเฉพาะในธุรกิจ SMEs ได้ด้วยขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้

  1. บริหารงบกระแสเงินสด (Cash Flow)ให้เข้มแข็งเป็นอันดับแรก โดยควรมีเพียงพอกับการใช้จ่ายในการดำเนินงาน และการลงทุนในอนาคตอย่างยั่งยืน เพราะปัญหาสำคัญของธุรกิจ SMEsจำนวนมาก คือ เงินสดขาดมือ ไม่ใช่การขาดทุนจากการดำเนินงาน จากนั้นจึงออกแบบบริหารหนี้ และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อสร้างกระแสเงินสดสำรอง ให้การเงินขององค์กรมีความเข้มแข็ง หรือ Strengthen Finance เพื่อเป็นหัวใจของการสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจแก่องค์กร
  2. ตั้งกลุ่ม (Squad) เพื่อรับมือความเสี่ยงทางธุรกิจโดยเป็นกลุ่ม (Squad) ที่เล็ก แต่มุ่งเน้นประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างจริงจัง ภายใต้ภารกิจสำคัญ คือ Identify & Prepareความเสี่ยงหรือภัยคุกคามทางธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมกับแผนการดำเนินงาน เพื่อ “ป้องกันการลุกลามจากภัยคุกคาม” ต่าง ๆ เหล่านั้นล่วงหน้า โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดวิกฤติการณ์ขึ้นก่อน
  3. ใช้Scenario Planningเพื่อสร้างสถานการณ์จำลอง ที่ไม่ได้เป็นเพียงการจินตนาการบนกระดาษเท่านั้น เช่น บททดสอบจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ Supplier รายใหญ่ในห่วงโซ่อุปทาน หรือส่วนแบ่งทางการตลาดที่หายไปร้อยละ 50 และภัยพิบัติที่ทำให้การดำเนินงานหยุด หรือปิดตัวไป เพื่อทดสอบความยืดหยุ่นทางธุรกิจด้วย Plan B ที่มีคุณสมบัติ Build Flexibility ซึ่งหมายถึง โครงสร้างธุรกิจที่มีทางเลือก เช่น Supplier รายใหม่ หรือกลยุทธ์การตลาดที่พร้อมปรับเปลี่ยนได้เร็ว รวมถึง สถานประกอบการสำรอง หรือรูปแบบการทำงานของบุคลากรในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นต้น
  4. ลงทุนกับการสร้างความยืดหยุ่นในองค์กรโดยเฉพาะบุคลากร และเทคโนโลยี (People & Tech)เช่น การฝึกอบรม Cross Training ให้บุคลากรมีทักษะการทำงานได้หลายบทบาท หรือทำงานทดแทนกันได้ และควรพิจารณาระบบ Cloud Computing เพื่อสนับสนุนให้บุคลากรสามารถดำเนินหรือทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา (Any Time, Any Where) รวมถึง การนำระบบอัตโนมัติ และ AI เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานของบุคลากรในส่วนที่จำเป็นและเหมาะสม

   แม้ความคล่องตัวทางธุรกิจ (Business Agility) พร้อมกับการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล (Data-Driven Decisions) จะสำคัญและจำเป็นสำหรับ SMEs ในวันนี้ แต่อาจจะไม่เพียงพอต่อการสร้างภูมิต้านทานวิกฤติการณ์ให้เราลุกขึ้นและก้าวต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งและเติบโตต่อไปได้ในระยะยาว หากขาดความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (Business Resilience) ที่สามารถจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น เพราะ

   ความคล่องตัวทางธุรกิจ เปรียบได้กับเครื่องมือที่ทำให้เราเดินหรือวิ่งหลบหลีกได้ดี

   ความยืดหยุ่นทางธุรกิจ เปรียบได้กับเครื่องมือที่ช่วยให้เราลุกขึ้นยืนได้ทุกครั้งที่ล้ม

   ในขณะที่การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล จะเปรียบได้กับเครื่องมือช่วยนำทางให้เราถึงเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ

“ถ้าเจอพายุลูกใหม่ เราจะหันเรือทันหรือไม่?” คงไม่สำคัญเท่ากับการที่ธุรกิจ SMEs ของคุณพร้อม Bounce Back ได้ทุกครั้งที่เผชิญวิกฤติการณ์ หรือความท้าทายใหม่ ๆ ที่ผ่านเข้ามา